ความสำคัญของภาษา
ภาษามีประโยชน์มากมาย ได้แก่
ภาษาช่วยธำรงสังคม ภาษาแสดงความเป็นปัจเจกบุคคล ภาษาช่วยให้มนุษย์พัฒนา
ภาษาช่วยกำหนดอนาคต ภาษาช่วยจรรโลงใจ
ภาษาช่วยธำรงสังคม สังคมจะธำรงอยู่ได้มนุษย์ต้องมีไมตรีต่อกัน
ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และระเบียบวินัยของสังคมและประพฤติตนให้เหมาะสมแก่ฐานะตนเอง
ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยภาษา คือ
– ภาษาใช้แสดงไมตรีจิตต่อกัน
เช่น การทักทายปราศรัยกัน
– ภาษาใช้แสดงกฎเกณฑ์ของสังคมว่าคนในสังคมควรปฏิบัติตนอย่างไร
เช่น ศีล ๕ เป็นแนวทางปฏิบัติของพุทธศาสนิกชน
– ภาษาใช้แสดงความสัมพันธ์ของบุคคล
แต่ละบุคคลมีฐานะ บทบาท และความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นต่างๆ กันไป
การใช้ภาษาจึงแสดงฐานะและบทบาทในสังคมด้วย
การแสดงความเป็นปัจเจกบุคคล ปัจเจกบุคคล หมายถึง ลักษณะเฉพาะของบุคคล บุคคลแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป
ภาษาจะช่วยสะท้อนลักษณะดังกล่าวของบุคคล ทำให้ทราบถึงอุปนิสัย อารมณ์ รสนิยม
ตลอดจนความคิดต่างๆ แต่ละบุคคลจะมีวิธีพูด
หรือการใช้ภาษาแตกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะของตน เช่น
ถ้าเราอ่านเรื่องของนักเขียนคนนั้นหลายๆ เรื่องก็จะทราบว่านักเขียนคนนั้นชอบหรือไม่ชอบอะไร
ภาษาช่วยให้มนุษย์พัฒนา มนุษย์อาศัยภาษาถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ
ต่อๆ กันมา ทำให้ความรู้แพร่ขยายมากยิ่งขึ้น
มนุษย์ไม่ต้องเสียเวลาเรื่องทุกเรื่องใหม่
แต่สามารถพัฒนาค้นคว้าต่อให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
บางครั้งเมื่อมีความเห็นไม่ตรงกันก็จะใช้ภาษาอภิปรายโต้แย้งกัน
ทำให้ความรู้ความคิดเจริญงอกงามยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะภาษาเขียนจะช่วยบันทึกเรื่องราวความรู้ต่างๆ
ไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ต่อไป
ภาษาช่วยกำหนดอนาคต มนุษย์อาศัยภาษาช่วยกำหนดอนาคตในรูปแบบต่างๆ
เช่น ทำแผน ทำโครงการ คำสั่ง สัญญา คำพิพากษา กำหนดการ คำพยากรณ์
ซึ่งจะเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป
ในบางกรณีสิ่งที่กำหนดล่วงหน้าไว้นี้อาจไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้
เพราะอนาคตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน
ภาษาช่วยจรรโลงใจ การจรรโลงใจ
คือ ค้ำจุนจิตใจให้มั่นคง ไม่ตกอยู่ในอำนาจฝ่ายต่ำ โดยปกติมนุษย์ต้องการได้รับความจรรโลงใจอยู่เสมอ
มนุษย์จึงอาศัยภาษาช่วยให้ความชื่นบาน ให้ความเพลิดเพลิน เช่น บทเพลง นิทาน
คำอวยพร ฯลฯ ทำให้สังคมดำรงอยู่ได้ด้วยดี
ภาษามีความสำคัญสำหรับมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันก็มีอิทธิพลต่อมนุษย์ด้วย
ทั้งนี้ เพราะมนุษย์ไม่ได้คิดว่าภาษาเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ใช้แทนเท่านั้น เช่น
การตั้งชื่อก็จะหลีกเลี่ยงคำที่มีเสียงคล้ายคลึงกับสิ่งไม่ดี สิ่งที่น่ารังเกียจ
หรือมีความหมายไม่เป็นมงคล หรือการถูกนินทาก็จะเสียใจ ได้รับคำชมก็ดีใจ
ดังกล่าวนี้ในบางครั้งมนุษย์ก็ยึดมั่นกับตัวอักษรโดยไม่พิจารณาเหตุผล
การที่ภาษาช่วยจรรโลงจิตใจของมนุษย์จะช่วยให้สังคมอยู่ได้ด้วยดี
ทำให้โลกสดชื่นเบิกบาน ช่วยคลายเครียด
เพราะฉะนั้นภาษาจึงมีความสำคัญต่อมนุษย์มาก
เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องมือในการสื่อสารแล้ว
ยังเป็นเครื่องมือแห่งการเรียนรู้และการพัฒนาความคิดของมนุษย์และเป็นเครื่องมือถ่ายทอดวัฒนธรรมและการประกอบอาชีพ
และที่สำคัญก็คือ ภาษาช่วยสร้างเสริมความสามัคคีของคนในชาติอีกด้วย
เพราะภาษาเป็นถ้อยคำที่ใช้ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจกันในสังคมhttps://nungruatai11.wordpress.com
ความสำคัญของภาษา
ภาษามีประโยชน์มากมาย ได้แก่
ภาษาช่วยธำรงสังคม ภาษาแสดงความเป็นปัจเจกบุคคล ภาษาช่วยให้มนุษย์พัฒนา
ภาษาช่วยกำหนดอนาคต ภาษาช่วยจรรโลงใจ
ภาษาช่วยธำรงสังคม สังคมจะธำรงอยู่ได้มนุษย์ต้องมีไมตรีต่อกัน
ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และระเบียบวินัยของสังคมและประพฤติตนให้เหมาะสมแก่ฐานะตนเอง
ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยภาษา คือ
– ภาษาใช้แสดงไมตรีจิตต่อกัน
เช่น การทักทายปราศรัยกัน
– ภาษาใช้แสดงกฎเกณฑ์ของสังคมว่าคนในสังคมควรปฏิบัติตนอย่างไร
เช่น ศีล ๕ เป็นแนวทางปฏิบัติของพุทธศาสนิกชน
– ภาษาใช้แสดงความสัมพันธ์ของบุคคล
แต่ละบุคคลมีฐานะ บทบาท และความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นต่างๆ กันไป
การใช้ภาษาจึงแสดงฐานะและบทบาทในสังคมด้วย
การแสดงความเป็นปัจเจกบุคคล ปัจเจกบุคคล หมายถึง ลักษณะเฉพาะของบุคคล บุคคลแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป
ภาษาจะช่วยสะท้อนลักษณะดังกล่าวของบุคคล ทำให้ทราบถึงอุปนิสัย อารมณ์ รสนิยม
ตลอดจนความคิดต่างๆ แต่ละบุคคลจะมีวิธีพูด
หรือการใช้ภาษาแตกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะของตน เช่น
ถ้าเราอ่านเรื่องของนักเขียนคนนั้นหลายๆ เรื่องก็จะทราบว่านักเขียนคนนั้นชอบหรือไม่ชอบอะไร
ภาษาช่วยให้มนุษย์พัฒนา มนุษย์อาศัยภาษาถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ
ต่อๆ กันมา ทำให้ความรู้แพร่ขยายมากยิ่งขึ้น
มนุษย์ไม่ต้องเสียเวลาเรื่องทุกเรื่องใหม่
แต่สามารถพัฒนาค้นคว้าต่อให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
บางครั้งเมื่อมีความเห็นไม่ตรงกันก็จะใช้ภาษาอภิปรายโต้แย้งกัน
ทำให้ความรู้ความคิดเจริญงอกงามยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะภาษาเขียนจะช่วยบันทึกเรื่องราวความรู้ต่างๆ
ไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ต่อไป
ภาษาช่วยกำหนดอนาคต มนุษย์อาศัยภาษาช่วยกำหนดอนาคตในรูปแบบต่างๆ
เช่น ทำแผน ทำโครงการ คำสั่ง สัญญา คำพิพากษา กำหนดการ คำพยากรณ์
ซึ่งจะเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป
ในบางกรณีสิ่งที่กำหนดล่วงหน้าไว้นี้อาจไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้
เพราะอนาคตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน
ภาษาช่วยจรรโลงใจ การจรรโลงใจ
คือ ค้ำจุนจิตใจให้มั่นคง ไม่ตกอยู่ในอำนาจฝ่ายต่ำ โดยปกติมนุษย์ต้องการได้รับความจรรโลงใจอยู่เสมอ
มนุษย์จึงอาศัยภาษาช่วยให้ความชื่นบาน ให้ความเพลิดเพลิน เช่น บทเพลง นิทาน
คำอวยพร ฯลฯ ทำให้สังคมดำรงอยู่ได้ด้วยดี
ภาษามีความสำคัญสำหรับมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันก็มีอิทธิพลต่อมนุษย์ด้วย
ทั้งนี้ เพราะมนุษย์ไม่ได้คิดว่าภาษาเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ใช้แทนเท่านั้น เช่น
การตั้งชื่อก็จะหลีกเลี่ยงคำที่มีเสียงคล้ายคลึงกับสิ่งไม่ดี สิ่งที่น่ารังเกียจ
หรือมีความหมายไม่เป็นมงคล หรือการถูกนินทาก็จะเสียใจ ได้รับคำชมก็ดีใจ
ดังกล่าวนี้ในบางครั้งมนุษย์ก็ยึดมั่นกับตัวอักษรโดยไม่พิจารณาเหตุผล
การที่ภาษาช่วยจรรโลงจิตใจของมนุษย์จะช่วยให้สังคมอยู่ได้ด้วยดี
ทำให้โลกสดชื่นเบิกบาน ช่วยคลายเครียด
เพราะฉะนั้นภาษาจึงมีความสำคัญต่อมนุษย์มาก
เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องมือในการสื่อสารแล้ว
ยังเป็นเครื่องมือแห่งการเรียนรู้และการพัฒนาความคิดของมนุษย์และเป็นเครื่องมือถ่ายทอดวัฒนธรรมและการประกอบอาชีพ
และที่สำคัญก็คือ ภาษาช่วยสร้างเสริมความสามัคคีของคนในชาติอีกด้วย
เพราะภาษาเป็นถ้อยคำที่ใช้ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจกันในสังคม
https://nungruatai11.wordpress.com
ระดับของภาษา
การใช้ภาษาขึ้นอยู่กับกาลเทศะ
สถานการณ์ สภาวะแวดล้อม และสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ซึ่งอาจแบ่งภาษาเป็นระดับต่างๆได้หลายลักษณะ
เช่น (ภาษาระดับที่เป็นแบบแผนและไม่เป็นแบบแผน),(ภาษาระดับพิธีการ ระดับกึ่งพิธีการ ระดับไม่เป็นทางการ) ในชั้นเรียนนี้
เราจะชี้ลักษณะสำคัญของภาษาเป็น ๕ ระดับ ดังนี้
1. ระดับพิธีการ ใช้สื่อสารกันในที่ประชุมที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ ได้แก่
การประชุมรัฐสภา การกล่าวอวยพร การกล่าวต้อนรับ การกล่าวรายงานในพิธีมอบปริญญาบัตร
ประกาศนียบัตร การกล่าวสดุดีหรือการกล่าวเพื่อจรรโลงใจให้ประจักษ์ในคุณความดี
การกล่าวปิดพิธี เป็นต้น ผู้ส่งสารระดับนี้มักเป็นคนสำคัญสำคัญหรือมีตำแหน่งสูง
ผู้รับสารมักอยู่ในวงการเดียวกันหรือเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่
สัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีต่อกันอย่างเป็นทางการ
ส่วนใหญ่ผู้ส่งสารเป็นผู้กล่าวฝ่ายเดียว ไม่มีการโต้ตอบ
ผู้กล่าวมักต้องเตรียมบทหรือวาทนิพนธ์มาล่วงหน้าและมักนำเสนอด้วยการอ่านต่อหน้าที่ประชุม
2. ภาษาระดับทางการ ใช้บรรยายหรืออภิปรายอย่างเป็นทางการในที่ประชุมหรือใช้ในการเขียนข้อความที่ปรากฏต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ
หนังสือที่ใช้ติดต่อกับทางราชการหรือในวงธุรกิจ
ผู้ส่งสารและผู้รับสารมักเป็นบุคคลในวงอาชีพเดียวกัน
ภาษาระดับนี้เป็นการสื่อสารให้ได้ผลตามจุดประสงค์โดยยึดหลักประหยัดคำและเวลาให้มากที่สุด
3. ภาษาระดับกึ่งทางการ คล้ายกับภาษาระดับทางการ
แต่ลดความเป็นงานเป็นการลงบ้าง
เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารซึ่งเป็นบุคคลในกลุ่มเดียวกัน
มีการโต้แย้งหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นระยะๆ มักใช้ในการประชุมกลุ่มหรือการอภิปรายกลุ่ม
การบรรยายในชั้นเรียน ข่าว บทความในหนังสือพิมพ์ เนื้อหามักเป็นความรู้ทั่วไป
ในการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจธุระต่างๆ รวมถึงการปรึกษาหารือร่วมกัน
4. ภาษาระดับไม่เป็นทางการ ภาษาระดับนี้มักใช้ในการสนทนาโต้ตอบระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคลไม่เกิน
4-5 คนในสถานที่และกาละที่ไม่ใช่ส่วนตัว
อาจจะเป็นบุคคลที่คุ้นเคยกัน การเขียนจดหมายระหว่างเพื่อน
การรายงานข่าวและการเสนอบทความในหนังสือพิมพ์
โดยทั่วไปจะใช้ถ้อยคำสำนวนที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยกันมากกว่าภาษาระดับทางการหรือภาษาที่ใช้กันเฉพาะกลุ่ม
เนื้อหาเป็นเรื่องทั่วๆไป ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
กิจธุระต่างๆรวมถึงการปรึกษาหารือหรือร่วมกัน
6. ภาษาระดับกันเอง ภาษาระดับนี้มักใช้กันในครอบครัวหรือระหว่างเพื่อนสนิท
สถานที่ใช้มักเป็นพื้นที่ส่วนตัว เนื้อหาของสารไม่มีขอบเขตจำกัด
มักใช้ในการพูดจากัน ไม่นิยมบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรยกเว้นนวนิยายหรือเรื่องสั้นบางตอนที่ต้องการความเป็นจริง (การแบ่งภาษาดังที่กล่าวมาแล้วมิได้หมายความว่าแบ่งกันอย่างเด็ดขาด
ภาษาระดับหนึ่งอาจเหลื่อมล้ำกับอีกระดับหนึ่งก็ได้)
https://sites.google.com
การใช้ภาษา
ความหมายและขอบเขตของการใช้ภาษา
การใช้ภาษา หมายถึง การติดต่อสื่อความหมายในสังคมให้เป็นที่เข้าใจกันด้วยการฟังผู้อื่นพูดบ้าง
ให้ผู้อื่นฟังบ้าง
อ่านสิ่งที่ผู้อื่นเขียน
และเขียนบางสิ่งบางอย่างให้ผู้อื่นอ่านบ้าง นอกจากจะติดต่อกับบุคคลในสมัยเดียวกันแล้ว อาจติดต่อกับคนในอดีตหรืออนาคตได้ การติดต่อกับคนในอดีตคือ อ่านข้อความหรือเรื่องราวที่มีผู้เขียนไว้ในหนังสือ
เอกสาร หลักฐานในสมัยต่าง ๆ
ก็ทำให้มีโอกาสได้รับทราบ เข้าใจในความคิดของบุคคลนั้น ๆ
แม้ว่าเขาจะล่วงลับไปแล้วก็ตาม
ส่วนการติดต่อกับบุคคลในอนาคตนั้น คือ
ติดต่อด้วยการเขียนหนังสือไว้ให้ชนรุ่นหลังอ่าน หรือบันทึกเสียงพูดไว้ให้ชนรุ่นหลังฟัง
ทักษะและเทคนิคการใช้ภาษา และลีลาในการสอน
วัฒนธรรมในการใช้ภาษา
1. การใช้ภาษาให้ถูกวัฒนธรรม
เมื่อได้มีการให้ความหมายของคำวัฒนธรรมไว้ว่า "คือ ลักษณะที่แสดงถึงความเจริญงอกงาม
ความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชนในชาติ
และศีลธรรมอันดีของประชาชน"
การใช้ภาษาให้ถูกหลักวัฒนธรรมน่าจะเป็นไปในความสอดคลัองกับความหมายดังกล่าว พระยาอนุมานราชธน ให้ข้อคิดไว้ว่า
"การใช้ภาษาไม่ถูกตามแบบแผนของภาษาไทยหรือพูดจาสามหาวนั้น
เป็นการผิดวัฒนธรรม"
การใช้ภาษาให้ถูกวัฒนธรรมจึงน่าจะมีลักษณะดังนี้
1.
ใช้ถูกตามแบบแผนของภาษาไทย
2. ใช้คำสุภาพ
หลีกเลี่ยงคำหยาบคาย หรือหยาบโลน
3.
ใช้คำพูดที่สื่อความหมายแจ่มแจ้ง ไม่กำกวม
4.
ใช้ภาษาที่ช่วยให้เกิดความเข้าใจดีระหว่างกัน
ก่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจในหมู่คณะ
5.ใช้ภาษาที่เป็นสิริมงคล
ในพิธีการต่าง ๆ
6.ใช้ภาษาที่ไพเราะ
ชวนให้เพลิดเพลินเจริญใจ
7.ใช้ภาษาที่เป็นคติเตือนใจ
8. ใช้ภาษาให้ถูกกาลเทศะ และเหมาะกับฐานะของบุคคล
2.
วัฒนธรรมที่แทรกหรือสัมพันธ์อยู่กับการใช้ภาษา การใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน
เห็นได้ว่ามีเรื่องของวัฒนธรรมแทรกอยู่ด้วยเสมอ เช่น เมื่อมีการกล่าวถึงสิ่งต่อไปนี้
คติธรรม สำนวน
ภาษิต สุภาษิต ทัั้งในร้อยแก้ว ร้อยกรอง ในภาษาพูดและภาษาเขียน
ความเชื่อต่าง ๆ
ของชาวบ้านที่แทรกอยู่ในนิทาน เรื่องเล่า
ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติอยู่ในท้องถิ่นต่าง
ๆ
โบราณสถาน โบราณวัตถุ ที่เป็นหลักฐานทางวัฒนธรรม
ศิลปหัตถกรรม แต่ละยุคแต่ละสมัย
เพลงพื้นเมือง นิทาน การละเล่น คำทายต่าง ๆ ที่รวมเรียกว่า คติชาวบ้าน
หรือคติชนวิทยา
จุดมุ่งหมายในการใช้ภาษาตามแนววัฒนธรรม
1. เพื่อสื่อสาร
2. เพื่อสั่งสอน
3. เพื่อสร้างสรรค์
https://sites.google.com/site/kaewsarphadnuk/kar-chi-phasa
หลักทั่วไปในการสอน
เกี่ยวกับเนื้อหา หรือเรื่องที่สอน
สอนจากสิ่งที่รู้เห็นเข้าใจง่าย
หรือรู้เห็นเข้าใจอยู่แล้ว ไปหาสิ่งที่เห็นเข้าใจได้ยาก
หรือยังไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจ
สอนเนื้อเรื่องที่ค่อยลุ่มลึก
ยากลงไปตามลำดับขั้น และความต่อเนื่องกันเป็นสายลงไป อย่างที่เรียกว่า
สอนเป็นอนุบุพพิกถา..
ถ้าสิ่งที่สอนเป็นสิ่งที่แสดงได้
ก็สอนด้วยของจริง ให้ผู้เรียน ได้ดู ได้เห็น ได้ฟังเอง
อย่างที่เรียกว่าประสบการณ์ตรง
สอนตรงเนื้อหา ตรงเรื่อง
คุมอยู่ในเรื่อง มีจุด ไม่วกวน ไม่ไขว้เขว
ไม่ออกนอกเรื่องโดยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องในเนื้อหา
สอนมีเหตุผล ตรองตามเห็นจริงได้
อย่างที่เรียกว่า สนิทานํ
สอนเท่าที่จำเป็นพอดี
สำหรับให้เกิดความเข้าใจ ให้เการเรียนรู้ได้ผล ไม่ใช่สอนเท่าที่ตนรู้
หรือสอนแสดงภูมิว่าผู้สอนมีความรู้มาก
สอนสิ่งที่มีความหมาย
ควรที่เขาจะเรียนรู้ และเข้าใจ เป็นประโยชน์แก่ตัวเขาเอง
ลีลาการสอน
คุณลักษณะซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลีลาในการสอน
4 อย่าดังนี้
1.อธิบายให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง
เหมือจูงมือไปดูเห็นกับตา (สันทัสสนา)
2.ชักจูงใจให้เห็นจริงด้วย
ชวนให้คล้อยตามจนต้อยอมรับ และนำไปปฏิบัติ (สมาทปนา)
3.เร้าใจให้แกล้วกล้า
บังเกิดกำลังใจ ปลุกให้มีอุตสาหะแข็งขัน มั่นใจว่าจะทำให้สำเร็จได้
ไม่หวั่นระย่อต่อความเหนื่อยยาก ( สมุตตเตชนา)
4.ชโลมใจให้แช่มชื่น
ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อ และเปี่ยมด้วยความหวัง
เพราะมองเห็นคุณประโยชน์ที่ตนจะพึงได้รับจากกาปฏิบัติ (สัมปหังสนา)
อาจผูกเป็นคำสั้นๆ ได้ว่า แจ่มแจ้ง
จูงใจ หาญกล้า ร่าเริง หรือชี้ชัด เชิญชวน คึกคัก เบิกบาน
https://nokyung22ny.wordpress.com